พระราชพิธีการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ (ราชาภิเษก) ในสมัยล้านนาเรียกว่า “พิธีมูรธาภิเษก” หรือ “บูรธารภิเษก” ซึ่งเป็นการสรงน้ำรด พระเศียรในงานราชาภิเษกนั่นเอง ได้พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า สมัยพระเจ้าเมกุฏิวิสุทธิวงศ์ กษัตริย์ลำดับที่ ๑๗ แห่งราชวงศ์เม็งราย (พ.ศ. ๒๐๙๔-๒๑๐๗) ทรงประกอบพระราชพิธีสำคัญที่วัด ๓ แห่งดังนี้
(๑) เสด็จไปเปลี่ยนเครื่องทรงสีขาว (นุ่งขาวห่มขาว) ที่วัดผ้าขาว
(๒) เสด็จไปลอยพระเคราะห์ ที่วัดหมื่นตูม
(๓) เสด็จไปสรงน้ำมูรธาภิเษก ที่วัดเจ็ดลิน (วัดเจ็ดลินคำหรือวัดหนองจลิน)
มีข้อความในตำนาน ดังนี้ “…ก็เชิญกษัตริย์เจ้าไปลอยเคราะห์ที่วัดหมื่นตูม นอนนั่นแลได้สามวัน แล้วไปอุสสาราชหล่อน้ำ พุทธาภิเษกสุคันธาด้วยสุวัณณหอยสังข์ที่ วัดเจ็ดลินคำ นั้นแล…” พิธีมูรธาภิเษกก่อนขึ้นครองราชย์จึงนับเป็นพระราชประเพณีสืบต่อกันมานาน
วัดทั้งสามแห่ง ตั้งอยู่ใกล้ประตูเชียงใหม่ วัดหมื่นตูมและวัดเจ็ดสินตั้งอยู่บนถนนพระปกเกล้า แต่คนละฟากถนนเยื้องกัน วัดเจ็ดลินจะมีหนองน้ำขนาดใหญ่และมีสะพานโตว่ะ (สะพานไม้ขัดแตะ) ที่อยู่เหนือขึ้นไป คือ วัดผ้าขาว อยู่บนถนนราชมรรคา ซอย ๔ (หรือถนน ราชดำเนิน) วัดทั้งสามแห่งตั้งอยู่ในตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง เชียงใหม่ มีอายุวัดไล่เลี่ยกัน ราว ๕๓๐ ปี (นับถึง พ.ศ. ๒๕๖๒) ซึ่งมีหลักฐานว่า สร้างขึ้น สมัยพญาแก้ว (พญาเมืองแก้ว) กษัตริย์องค์ที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๘) แต่การที่วัดเจ็ดสินได้ถูกทิ้งร้างก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ และมาฟื้นฟู บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในภายหลัง จึงทำการจดทะเบียนวัดอีกครั้งกับสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
วัดทั้งสามแม้จะตั้งอยู่ภายในเวียงเชียงใหม่โบราณ (ภายในคูเมือง) แต่ก็ยังอยู่ในรัศมีขอบในวงสัณฐานวงกลมของเวียงเจ็ดลิน วัดเจ็ดลิน ตั้งชื่อตามเวียง เพราะได้รับน้ำจากน้ำตกห้วยแก้วที่ไหลลงคูเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และ เพื่อจะอธิบายว่า เหตุใดจึงถือว่า น้ำในวัดเจ็ดสินศักดิ์สิทธิ์ จึงจำเป็นต้องกล่าวถึง “เวียงเจ็ดลิน” ให้เป็นที่เข้าใจพอสังเขป
“เวียงเจ็ดลิน” เป็นเมืองโบราณขนาดเล็กในอดีต รูปสัณฐานของเมืองเป็นวงกลม ใจกลางเมืองตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ซึ่งเป็นด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันมีถนนห้วยแก้วตัดผ่าน ทั้งยังเป็นที่ตั้งของหน่วยราชการหลายแห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่ สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ สวนสัตว์ เชียงใหม่ สวนรุกขชาติ เป็นต้น ส่วนด้านกายภาพของเมือง เป็นที่ราบเชิงเขา พื้นที่มีความสูงลาดจากด้านทิศตะวันตกลาดลงมาทางทิศตะวันออก
คำว่า “ลิน” หมายถึง รางริน “เจ็ดลิน” คือ มีรางรินน้ำทั้งเจ็ด นับเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงเมืองเชียงใหม่ ๗ สาย ได้แก่ (๑) ตาน้ำผุดขึ้น กลางเวียงเป็นสายที่ ๑ (๒) น้ำไหลมาจากน้ำตกห้วยแก้วไหลลงคูเมืองด้านทิศใต้ (๓) มีน้ำไหลตามร่องน้ำผ่านสวนรุกขชาติ (ปัจจุบันแห้งแล้ว) (๔) เป็นน้ำไหลจากหลังวัดศรีโสดา (๕) เป็นสายน้ำไหลผ่านตัวเวียงตรงบริเวณศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่ ที่กั้นกักเก็บไว้ใช้เป็นแหล่งน้ำ ของตนในปัจจุบัน (๖) เป็นสายน้ำไหลเข้าทางทิศเหนือที่เรียกว่า “ห้วยคอหล่อน” และ (๗) เป็นน้ำห้วยช่างเคี่ยน โดยเป็นสายน้ำด้านทิศเหนือแล้ววกกลับมาทางด้านตะวันออก
เดิมราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เรียกเวียงเจ็ดลินว่า “เชฏฐบุรี” เพราะมีชุมชน ๒ เผ่า คือ “เผ่าไท” มีพญาสะเกตเป็นหัวหน้า และ “เผ่าลัวะ” มีพญาวีวอเป็นหัวหน้า ในเวลาต่อมาขุนหลวงวิลังคะรวบอำนาจเข้าปกครองขยายอำนาจยกทัพทำศึกกับอาณาจักรหริภุญชัย ที่มีพระนางจามเทวีเป็นเจ้าเมือง ศึกยาวนานและสงบลงได้ด้วยการแต่งงานของโอรสแฝดของพระนางจามเทวีกับธิดาแฝดของขุนหลวงวิลังคะ เกิดสัมพันธไมตรีภายหลัง ดังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นการเล่าเรื่องการแต่งงานดังกล่าว อีกทั้งสมัยนั้นได้นำเอา ศิลปะหริภุญชัยที่รุ่งเรืองกว่าเผ่าลัวะเข้ามาในเขตเวียงเจ็ดลิน ดังเช่นการสร้างวัดกู่ดินขาว (ตั้งอยู่ในเขตสวนสัตว์เชียงใหม่) กับวัดหมูนุ่นที่เป็น เจดีย์ที่มีทรงมณฑปคล้ายเจดีย์วัดกู่กุดที่วัดจามเทวีลำพูน มีรากฐานเจดีย์ปรากฏอยู่เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ พญามังรายผู้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนาได้รวบเอา เวียงเจ็ดลินไว้ด้วย ภายหลังพระองค์ได้อพยพย้ายเมืองจากเวียงกุมกามมายังเวียงเจ็ดลินแห่งนี้แทน
ล่วงมาสมัยพญาไสลือไทยแห่งอาณาจักรสุโขทัยยกทัพมาประชิดเวียงเจ็ดลินสมคบคิดกับเจ้ายี่กุมกาม ผู้เป็นพี่ชายของ พญาสามฝั่งแกนเพื่อชิงเอาเมืองนี้ แต่แล้วก็พ่ายแพ้กลับไปเพราะเวียงเจ็ดลินมีป้อมปราการที่แข็งแกร่ง พญาสามฝั่งแกนจึงตั้งเวียงเจ็ดลินไว้ ประทับพักผ่อน และครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๔ ปลายรัชสมัยก็ถูกท้าวลก (พระราชโอรสลำดับที่ 5 ของพญาสามฝั่งแกน) เข้าแย่งชิง อำนาจขึ้นเป็นใหญ่ขนานนามเป็น “พระเจ้าติโลกราช” ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๔-๒๐๓๐ นานถึง ๔๖ ปี ครั้นต่อมาพญายอดเชียงราย ขึ้นครองราชย์แทน ได้เกิดภาวะฝนแล้ง ขณะที่เมืองเชียงแสนมีฝนตกชุก ด้วยเหตุได้ทำพิธีสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ดังนั้น พญายอดเชียงราย จึงได้ ทำพิธีขอฝนโดยนำน้ำจากเวียงเจ็ดลินไปประกอบพิธีอธิษฐานขอฝน แล้วนำไปสรงน้ำพระธาตุดอยตุงและได้ฝนตกตามที่จิตอธิษฐาน กษัตริย์ใน ราชวงศ์นี้จึงถือว่า น้ำจากเวียงเจ็ดลินเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์กว่าแหล่งน้ำใดในแผ่นดินล้านนา
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้ปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจ ถือว่า “หนึ่งฟ้าดินเดียว” ลดอำนาจเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ แทบจะสิ้นสุดลง ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ (พระปิยมหาราช) และรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ได้ทรงตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ณ สำนักงานปศุสัตว์เชียงใหม่ในปัจจุบัน ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพบริเวณสวนรุกขชาติเชียงใหม่ มีการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่ ครั้นภายหลัง พ่ายแพ้สงคราม ทางป่าไม้จังหวัดเชียงใหม่ได้ฟื้นฟูให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ห้วยแก้ว จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีนโยบายเพื่อการท่องเที่ยว จึงปรับปรุงให้กลายมาเป็น “สวนรุกขชาติห้วยแก้ว” ในปัจจุบัน แล้วจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฟากทำถนนขึ้นดอยสุเทพตรงกลาง นำโดยครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา และมี พลตรีเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้ลงจอบทำถนนเป็นคนแรก


